พระราชดำรัสของ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระราชทานแก่คณะบุคคล ที่มาเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
(ฉบับไม่เป็นทางการ) วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2547


ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้แทนของประชาชนชาวไทย กล่าวอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า เป็นพรที่เพราะ และเป็นที่ซาบซึ้งสำหรับข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้ามีอายุครบ 6 รอบ ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ และเป็นกำลังใจอย่างยิ่ง

ขอขอบคุณผู้ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ ทั้งภายใน และภายนอกศาลาดุสิดาลัย จำนวนประมาณ 20,000 คน ประกอบด้วยข้าราชการทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ลูกเสือชาวบ้าน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ผู้แทนจากมูลนิธิ สภา สมาคม สถาบัน และกลุ่มองค์กรทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งพร้อมใจกันมาให้พรข้าพเจ้าอย่างเนืองแน่นในวันนี้ และที่จะลืมขอบคุณเสียไม่ได้เลยก็คือรัฐบาล และประชาชนทุกคณะ ทุกคน ที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการกุศล และเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้านับพันรายการ แต่ละกลุ่ม แต่ละองค์กร ช่วยคิดหากิจกรรมที่เป็นสาธารณกุศล และสาธารณประโยชน์อย่างน่าสรรเสริญ ยกตัวอย่างเช่น การอุปสมบทพระภิกษุ และบรรพชาสามเณร มีตั้งแต่กลุ่มย่อยไม่ถึงสิบรูป ไปจนถึงกลุ่มใหญ่หลายพันรูป รวมแล้วจะมีพระภิกษุ และสามเณรจากการกุศลครั้งนี้หลายหมื่นรูป มีการสร้างพระพุทธรูป สร้างเจดีย์ สร้างอาคาร และถาวรวัตถุทางศาสนา บูรณะปฏิสังขรณ์วัด จัดโครงการปฏิบัติธรรม มีการสร้างอาคารสถานที่ และสิ่งก่อสร้าง ที่จะอำนวยประโยชน์แก่ประชาชน มีโครงการช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย และทุกข์ยากเป็นจำนวนมาก เช่น โครงการผ่าตัดรักษาดวงตา และหัวใจ โครงการตรวจรักษาประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า โครงการเพื่อสุขภาพ เช่น โครงการอาหารปลอดภัย โครงการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ โครงการงดสุรา และบุหรี่ การบริจาคโลหิต การบริจาคอาหาร และสิ่งของเป็นทานแก่คนยากคนจน

การไถ่ชีวิตโค กระบือ การปรับปรุงสาธารณสถาน การกำจัดขยะ การอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล การปลูกต้นไม้ การสร้างสวนสาธารณะ การจัดทำสิ่งของต่างๆ เพื่อเป็นที่ระลึก และเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้า เช่น จัดพิมพ์หนังสือ พิมพ์ธนบัตร แสตมป์ ไปรษณียบัตร จัดทำเหรียญกษาปณ์ จัดนิทรรศการ จัดแสดงดนตรี การเดิน และวิ่งการกุศล และการจัดการแสดงสารคดีพิเศษทางโทรทัศน์ การจัดสัมมนา ปาฐกถาทางวิชาการ การแสดงที่สถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ จัดขึ้น รวมทั้งการจัดงานอื่นๆ อีกนับร้อยงาน

ตลอดจนการอวยพรผ่านทางสื่อมวลชนทุกแขนง ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจะนำมากล่าวให้หมดได้ในที่นี้ แต่ก็รับทราบด้วยความปิติ และชื่นชม โครงการเพื่อการกุศล โครงการเดิมที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวถึงไปแล้วเมื่อปีก่อนๆ คือโครงการที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ จัดอาหารกลางวันให้คนยากคนจนในกรุงเทพฯ ชื่อโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน ขณะนี้ก็ยังดำเนินการสืบมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่น่าปลื้มใจ

โครงการนี้ข้าพเจ้าได้แนวคิดมาจากตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีการตั้งโรงทานเลี้ยงคนจน และคนที่มาหางานทำในกรุงเทพฯ ก็มีมาก หากยังไม่มีงานทำ และไม่มีอะไรจะรับประทาน อย่างน้อยเขามีอาหารกลางวันรับประทานหนึ่งมื้อก็ยังพอดำรงชีพอยู่ได้ นอกจากโครงการสาธารณกุศล และสาธารณประโยชน์ที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีผู้ที่ส่งเงินมาร่วมทำบุญกับข้าพเจ้า ส่งจดหมายบทร้อยกรองอวยพร และรูปของข้าพเจ้าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ประกอบคำอวยพรที่ไพเราะมาให้ ข้าพเจ้าได้รับแล้วด้วยความซาบซึ้ง และประทับใจในน้ำใจไมตรี และความปรารถนาดีของทุกๆ คนที่มีให้ข้าพเจ้าเป็นระยะเวลายาวนาน

สิ่งที่ประชาชนทั้งหลายพร้อมใจกันปฏิบัติเนื่องในโอกาสที่ข้าพเจ้ามีอายุครบ 6 รอบนี้ ล้วนแต่เป็นความดีงาม และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และสังคมไทย สะท้อนถึงความมีน้ำใจของคนไทย การรู้จักการให้ ความเสียสละ ความสามัคคีของชนชาติไทย ซึ่งเป็นคุณธรรมอันสำคัญ ที่จะช่วยให้บ้านเมืองของเราอยู่รอด และคนในชาติมีความสุข

ข้าพเจ้าได้เป็นพระราชินีตั้งแต่อายุ 17 ปีเศษ จนบัดนี้อายุ 72 ปีแล้ว วันเวลาผ่านไปถึง 54 ปี ที่ข้าพเจ้าได้ถวายรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้ออกไปช่วยประชาชน แต่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่าย ข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชน เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าคนไทยเรานี่น่ารัก เมื่อข้าพเจ้าเห็นคนที่อายุน้อยกว่ามารอพบ ข้าพเจ้าก็เกิดความเอ็นดู ส่วนผู้ที่อายุมากกว่าก็ให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้า ดังนั้น เราจึงอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันเสมอมา และพยายามจะถ่ายทอดน้ำใจไปสู่กันและกัน

แรกทีเดียวที่จะตั้งต้นศิลปาชีพเมื่อปลายปี พ.ศ.2513 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดนครพนม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมราษฎร และพระราชทานสิ่งของช่วยเหลือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ไม่ทรงอิ่มพระทัยเลย รับสั่งว่าประชาชนเขายากจน แล้วยังมาประสบภัยพิบัติอีก ทรงรู้สึกว่าต้องช่วยให้เขามีโอกาสในชีวิต ช่วยให้เขามีทางทำมาหากิน ต้องพยายามหาต้นตอความทุกข์ยากของเขา เพราะส่วนใหญ่เขาเป็นชาวนา เขาผลิตข้าวให้แก่ประเทศทั้งประเทศ อีกทั้งข้าวก็ยังเป็นสินค้าหลักของชาติไทยเรา ข้าพเจ้าก็พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้เห็นชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ โดยเฉพาะผู้หญิงใส่ผ้าซิ่นสวยงาม แม้จะดูเก่าคร่ำคร่า แต่ฝีมือที่ทอ แบบที่ทอละเอียดงดงามมาก เป็นศิลปะที่งดงามของพื้นบ้าน ข้าพเจ้าจึงมีความคิดขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่ขอให้เขาทอผ้ามัดหมี่ลายต่างๆ ที่เขาใส่ ทำไมไม่ใช้ความงดงามของผ้ามัดหมี่ ที่ชาวบ้านใส่มานั่งเฝ้าอยู่กับพื้นให้เป็นประโยชน์

ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ผ้าที่เขาใส่นี้สวยมาก ทอให้พระราชินีได้ไหม ชาวบ้านก็บอกว่าพระราชินีจะเอาไปทำอะไร เพราะว่าผ้าแบบนี้ที่คนเขาจะนุ่งจะห่มก็มีแต่คนยากจนเท่านั้น คนใช้ที่กรุงเทพฯ นั่นแหละเขาใส่กัน พระราชินีจะใส่ไปทำไม ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า ถ้าทอให้พระราชินีจะใส่ตลอด เขาก็ได้ตกลง มีการเข้าชื่อกันว่าใครบ้างจะรับอาสาทอผ้าไหมมัดหมี่ถวาย แบบที่เขาใส่กันลายแปลกๆ ข้าพเจ้าได้ให้เงินล่วงหน้าไว้กับคนที่จะทอให้ข้าพเจ้าทุกคน

สังเกตเห็นว่าแววตาเขาทั้งหลายมีความหวังว่าเขามีงานทำ เป็นงานที่เขาคุ้นเคย และถนัด บางคนก็ทอผ้าฝ้ายใช้ แต่ทอผ้าไหมไว้สำหรับใส่ไปทำบุญที่วัด ต่อมาเขาก็ทอให้ข้าพเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าก็นำมาตัดเสื้อใส่ จากนั้นก็มีผู้อาสาทอผ้ามากขึ้น จึงได้โอกาสตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพขึ้น และชาวบ้านก็เริ่มทอผ้าส่งเข้ามามากมาย ที่ไหนที่มีความยากจนข้นแค้น ข้าพเจ้ามักสังเกตว่าเขาใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดเพื่อมาเฝ้าฯ ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุยังน้อย ความเข้าใจต่อชีวิตของประชาชนคนไทยก็ยังน้อย ทราบว่าเขายากจน แต่ไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรดี

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะอยู่กับหัวหน้าครอบครัว ให้เขานำเสด็จฯ ไปที่ที่ทำกินของเขา เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรดูปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ และทรงมอบหมายหน้าที่แก่ข้าพเจ้าว่า ให้อยู่กับกลุ่มราษฎรจำนวนมากที่มารอรับเสด็จฯ อยู่เป็นหมื่น บางแห่งก็เป็นแสน โดยที่เขาจะเดินมาหลายวันเพื่อมาเฝ้าฯ และมีค้างแรมระหว่างทาง ก็ในโอกาสครั้งนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จักคนไทยมากขึ้นว่า ถึงแม้ราษฎรจะจนอย่างไรก็ตาม แต่ราษฎรมีจิตใจโอบอ้อมอารี ห่วงใยต่อเพื่อนบ้าน ห่วงใยในพระบวรพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่เขาเองเป็นคนจน แต่ในละแวกที่เขาอยู่มักจะมีวัด ชาวบ้านมักจะแบ่งหน้าที่กัน ดูแลวัด ดูแลพระภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักคนไทยของเราแล้วว่าเป็นคนอย่างไร ความละโมบโลภมากเห็นแก่ตัวเค็มปี๋ รู้มากฉลาดแกมโกง จะไม่มีเลยในหมู่ชาวบ้าน เขาจะมีสัจจะวาจา รักษาสัจจะวาจา สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เรียนรู้ก็คือ ความรักของเขาที่มีต่อพระมหากษัตริย์ เขาจะเดินมาเป็นวันๆ ค้างแรมมาหลายคืน เพราะอยากมาเห็นหน้า อยากมาเฝ้าฯ พระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้าใส่ติดตัวอยู่ก็จะมาจากราษฎรนี่เอง ราษฎรจะถอดจากตัวถวาย เพื่อจะได้คุ้มครองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้า ความโลภเค็มปี๋จะไม่มีในจิตใจประชาชนเลย จะมีแต่ความใสสะอาด บริสุทธิ์

ตั้งแต่นั้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถือเป็นพระราชกิจสำคัญยิ่งที่สุด ที่จะเสด็จฯ ออกไปเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นห่างไกล และกันดาร และทรงปลาบปลื้มพระทัยว่า ได้สามารถทรงช่วยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่เสด็จฯ ออกไปพบปะราษฎรได้ทราบทุกข์สุขของเขา และทรงมาแจ้งแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลได้ทราบ นับได้ว่าเราสองคนมีบุญ ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็จะมีคนอาสาไปช่วยงาน เช่น มีนายแพทย์ผลัดเปลี่ยนเวรกันไปตามเสด็จฯ ที่ประชาชนพากันตั้งชื่อเองว่าหมอหลวง และมีมากแขนงขึ้นเรื่อย ๆ ในขบวน

ภายหลังเวลาเสด็จฯ ไปที่ใดก็ไปช่วยราษฎรได้อย่างพระทัยปรารถนา มีแพทย์หลายสาขาวิชา ต่อมาจึงได้ทรงสร้างพระตำหนักต่างๆ ตามภาคต่างๆ ที่จะประทับแรม แล้วออกไปดูแลทุกข์สุขราษฎรได้สะดวกขึ้น เมื่อยังเล็กๆ อยู่ ข้าพเจ้าเคยเสียใจมาก ที่คุณแม่ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ให้ใส่เลย เสื้อผ้าที่ใส่เล่นในบ้านก็รับช่วงจากพี่ชายสองคน และได้เห็นแม่นั่งเย็บจักร เย็บชุดนักเรียนให้แก่ข้าพเจ้า และน้องสาว ได้เห็นพ่อของข้าพเจ้า ไปไหนๆ ก็ขึ้นแต่รถราง ข้าพเจ้าก็บ่นกับพี่น้องว่า แหมเบื่อจังเห็นพ่อต้องวิ่งขึ้นรถราง ท่านพ่อก็จะสอนมาตลอดว่า ลูก ความยากจนไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าละอาย ความชั่วช้าคดโกงนั่นแหละ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่าละอายอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าเองก็เดินจากบ้านที่เทเวศร์ ซึ่งไกลมากไปโรงเรียนเซนต์ฟรังซิซาเวียร์ นานๆ จึงจะได้ขึ้นรถรางเมื่อฝนตก ตอนนี้ ข้าพเจ้าอธิษฐานเสมอเวลาทำบุญ และแม้แต่เวลานั่งรถผ่านพระปฐมเจดีย์ว่า เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดกับพ่อ แม่เช่นนี้ พ่อ แม่ที่สอนลูกให้ห่างไกลจากความรู้มาก แล้วก็เค็มปี๋ ความจริง พ่อ แม่ มีห้องแถว ที่เสด็จปู่กับท่านย่าให้เป็นมรดก ที่จะเก็บเงินค่าเช่าเป็นเงินสำหรับเลี้ยงชีวิต ตั้งแต่สมัยสงครามโลก

พ่อข้าพเจ้าเคยคิดจะขึ้นค่าเช่า เพราะเห็นลูกแต่งตัวปอน ซอมซ่อเต็มแก่ แต่คนเช่าห้องแถวเขาก็มาหา แล้วขอร้องว่าอย่าขึ้นค่าเช่าเลย และทุกครั้งท่านพ่อออกไปพูดกับเขาแล้ว ก็ตกลงว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่า ท่านพ่อก็มาพูดกับคุณแม่ต่อหน้าลูกๆ ว่าช่วยกันเถิดนะ ขณะนี้เป็นสงคราม ลูกแบ่งกันกินเถอะ ให้เขากินบ้างเรากินบ้างในยามสงคราม และลำบากเช่นนี้ หลังกลับจากโรงเรียน ครอบครัวของพวกเรา ก็จะช่วยกันปลูกดอกไม้ พวกลูกๆ จะเก็บดอกไม้ให้คนไปขายหน้าบ้าน

เสื้อผ้าของลูกๆ แม่ก็จะเป็นคนตัดเย็บให้ วันสำคัญเช่น วันของพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์ เช่น วันจักรี หรือวันปิยะมหาราช พ่อกับแม่ก็จะเชิญพระบรมรูป มาตั้งจัดโต๊ะบูชา เก็บดอกไม้ที่ปลูกที่บ้านมาบูชา แล้วรวบรวมลูกหลาน ให้มาหมอบกราบรำลึกถึงพระมหากรุณา แม้บ้านที่อยู่ที่เทเวศร์ ก็ได้รับพระราชทานมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพ่อก็บอกว่า เราก็ตั้งจิตอธิษฐานกันว่า เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นคนไทย เกิดในพระบวรพุทธศาสนา และพ่อข้าพเจ้ามักจะชี้ให้ดูวัดวาอาราม และโบสถ์ของหลายศาสนาที่อยู่ร่วมกันโดยสันติ

ท่านพ่อไม่เคยสอนให้มีความเกลียดชังในจิตใจของเด็กเลย จะสอนให้นึกถึงคำของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนให้มีเมตตาจิตต่อทุกๆ คน เมื่อข้าพเจ้าโตขึ้นมา พ่อก็จะชี้ว่าให้ดูซิ ดูเมืองไทยเราซิ ดูกรุงเทพฯ นี่ซิ วัดพุทธ สุเหร่าอิสลาม โบสถ์คริสต์ อยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติไทยเรา แต่ใครจะนับถือศาสนาใดก็ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมป์ภกของทุกศาสนา

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเปิดงานศิลป์แผ่นดินครั้งล่าสุด ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เห็นแล้วบังเกิดความสุข ความปิติโสมนัสอย่างยิ่งว่า นี่คือคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้าเอาใจใส่ และเอามาจากครอบครัวชาวนาที่ยากจน บัดนี้กลายมาเป็นครอบครัวชาวนา ที่มีความสามารถสูงสุดในทางด้านศิลปะ และที่มาตอบแทนพระคุณแผ่นดินได้

ท่านทั้งหลาย คงเห็นกับตาแล้วว่า งานฝีมือชั้นเลิศทั้งหลาย เป็นฝีมือของลูกหลานชาวนาทั้งนั้น วันนั้นเป็นวันที่ข้าพเจ้าปลื้มปิติเหลือเกิน ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี และคุณหญิง ก็กรุณาไปด้วย ในวันนั้น ก็คงเห็นข้าพเจ้าตื่นเต้น ยิ้มแก้มแทบปริ มีความสุขเหลือเกิน และข้าพเจ้าต้องขอบอกว่า มีความรู้สึกซาบซึ้ง และขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่เมตตา คอยช่วยเหลือค้ำจุนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพตลอดมา ข้าพเจ้าปลาบปลื้มเหลือเกิน ที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง รวมทั้งเหล่าศิลปาชีพทั้งหลาย ที่ได้สามารถตอบแทนพระคุณของแผ่นดินได้

ฝีมือของศิลปาชีพครั้งหลัง ที่ข้าพเจ้าได้ชมนี้ เป็นหนึ่งในโลกจริงๆ ที่ข้าพเจ้าได้ดูตลอดมาในโลก สมควรที่คนไทยจะภาคภูมิใจ อย่างที่พระภาวนาวิสุทธิเถร หรือท่านอาจารย์แบน แห่งวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เมื่อข้าพเจ้าได้พาทั้งคณะ ไปกราบท่านที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ท่านก็จะเทศน์ให้พวกเราฟังหลายบท ในที่สุดก่อนที่ท่านจะจบ ท่านก็ย้ำ เพื่อให้พวกเราทุกคนคิด ระลึกถึง พระคุณของแผ่นดินเกิด คนเราถ้าสำนึกถึงพระคุณของแผ่นดินเกิด ความคิดที่จะทำชั่วช้าก็คงหมดไป

ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่าน ที่ตั้งใจฟังข้าพเจ้าเล่าเรื่องต่างๆ มาด้วยความอดทน ขอขอบพระคุณประชาชนทั่วประเทศอีกครั้ง ที่บำเพ็ญประโยชน์ และความดีนานาประการ เพื่อเป็นการกุศลของข้าพเจ้า ในโอกาสที่มีอายุครบ 72 ปี การที่ท่านทั้งหลายตั้งใจทำความดี ไม่ว่าจะในโอกาสใดก็ตาม หากเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ แล้วก็นับว่าท่านทั้งหลาย ได้ทดแทนพระคุณแผ่นดิน ช่วยให้บ้านเมืองของเรานี้ อยู่มั่นคงสถาพร เพราะผู้คนพลเมืองเต็มไปด้วยผู้มีน้ำใจงาม

ข้าพเจ้าเองก็บังเกิดความสุขใจ และมีกำลังใจ ที่จะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อทำงานให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนต่อไป ขอให้กุศลจากการที่ท่านทั้งหลาย ประพฤติปฏิบัติชอบ เพื่อบ้านเมือง จงส่งให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง มีกำลังกาย กำลังใจ สมบูรณ์พร้อม มีสติปัญญาเฉียบแหลม ที่จะคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาของบ้านเมือง ให้ลุล่วงไปด้วยดี

ขอให้มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อช่วยให้ประเทศของเรามีความรุ่งเรือง ไพบูลย์ ยิ่งๆ ขึ้นตลอดไป ขอบพระคุณมาก

ข้อมูลจาก: kanchanapisek.or.th
พระราชประวัติ พระราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ชม ภาพพระราชินี รูปพระราชินี อ่าน กลอนพระราชินี ติดตาม พระบรมราโชวาท พระราชดำรัส โครงการพระราชดำริ และ พระราชกรณียกิจ ของ พระราชินี
◊ เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คําขวัญวันแม่ คําขวัญวันแม่
กลอนวันแม่ กลอนวันแม่
เรียงความวันแม่ เรียงความวันแม่
เพลงแม่ เพลงแม่
วันแม่ วันแม่
วันแม่ ดู รูปวันแม่ การ์ดวันแม่ซึ้ง ๆ คลิกรูปวันแม่ การ์ดวันแม่ซึ้ง ๆ




Valid XHTML 1.0 Transitional